วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รักกรุ้มกลิ่ม


20 เรื่องที่ควรจะรู้ไว้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์

1. วันวาเลนไทน์เกิดขึ้นระลึกถึงนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้รับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 เพราะในยุคนั้นมีกฏหมายห้ามไม่ให้มีแต่งงานของพวกคริสเตียน แต่เซนต์วาเลนไทน์ยังแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและ รับโทษ โดยในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ แต่เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงหูกษัตริย์ เซนต์วาเลนไทน์จึงถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศรีษะ ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจและยึดถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันแห่งความรัก นั่นเอง
2. คนที่ฟ้าส่งมาให้รักเรามากที่สุดคือ พ่อแม่ เป็นรักไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีเงื่อนไข เพราะต่อให้เราอ้วน น่าเกลียด พิการ ทำตัวงี่เง่ายังไง พ่อแม่ก็ยังรักและพร้อมจะเสียสละเพื่อเราเสมอ ดังนั้นในวันวาเลนไทน์ จึงอยากใหคุณๆ ทำดีต่อคุณพ่อคุณแม่ให้มากๆ นะคะ
3. คนที่ไม่มีแฟนไม่ใช่คนอาภัพน่าสงสารในวันวาเลนไทน์ เพราะคนโสดก็มีความรักได้ และคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ไม่มีความรักในหัวใจต่างหากล่ะ อีกอย่าง...คนที่มีแฟน แต่แฟนห่วยแตก ชีวิตเหมือนถูกขังให้ทรมานไปวันๆ น่าสงสารกว่าคนโสดเป็นไหนๆ
4. จากการสำรวจพบว่าในวัยเรียน เด็กคอซอง คนที่ให้ของขวัญบอกรักกันมากที่สุดในวันวาเลนไทน์ ไม่ใช่ คู่รัก แต่เป็น เพื่อน ดังนั้นอย่าเครียดไปเลยที่แม้ว่าจะยังไม่มีแฟนมาควงแขนอวดใครในวันวาเลนไทน์ เพราะถึงยังไง เราก็ยังมีเพื่อนมากมายที่มอบความรักต่อกันได้อยู่นะ
5. กุหลาบราคาแพงไม่ได้แสดงว่าเค้ารักเรามากจริงๆ ดังนั้นอย่าไปเชื่อคำพูดของใครว่า รักเรามาก เพียงเพราะเค้าให้ดอกกุหลาบราคาแพงหูฉี่ เรื่องแบบนี้อยู่ที่ใจล้วนๆ
6. ครูที่ปรึกษาหลายท่านร้องไห้ด้วยความทราบซึ้ง เมื่อลูกศิษย์ประจำห้องมอบดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์ให้ท่านคนละดอก ลองวางแผนเซอร์ไพร้ส์ครูดูไหมล่ะ ให้เพื่อนๆ เอาดอกไม้ไปไหว้ครูพร้อมๆ กัน ได้เห็นครูน้ำตาร่วงเพราะซึ้งใจชัวร์ดิ
7. เมื่อเธอมองรอบตัว จะพบสิ่งมีชีวป็นผู้ให้ความรักแก่พวกเขา มีเมตตาแก่พวกเขาดู แล้วเธอจะเต็มอิ่มไปด้วยรักในหัวใจ
8. คนที่ได้ดอกกุหลาบมากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นจะมีความรักที่น่าอิจฉาที่สุด ตรงกันข้าม คนที่ไม่ได้ของขวัญวาเลนไทน์ซักชิ้น อาจจะมีรักที่น่าอิจฉาที่สุดเลยก็เป็นได้
9. ของขวัญวาเลนไทน์ที่มีค่าที่สุด อาจลงทุนน้อยที่สุด เช่น การ์ดที่ตั้งใจทำกับมือ ดาวกระดาษที่พับมาเป็นเดือนๆ หรือของราคาถูกแต่ตั้งใจหาซื้อมาด้วยใจ เพราะฉะนั้น อย่าตีค่าความรักของใครด้วยราคาของขวัญที่เค้าให้ เราดูที่การกระทำดีกว่านะ ก็มีค่ายิ่งใหญ่สุดๆ แล้ว
10. เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรัก กลับเป็นเดือนที่มีวันน้อยที่สุดของปี บอกให้เรารู้ว่า ความรักจะสั้นหรือยาวไม่ได้อยู่ที่วันเวลาที่คบกันมา แต่อยู่ที่การทำทุกนาทีให้มีค่าร่วมกันนะจ๊ะ
11. วันวาเลนไทน์ไม่ใช่วันเสียตัวแห่งชาติ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะกลายเป็นแฟชั่นแปลกๆ ไปแล้วว่าวาเลนไทน์โรงแรมม่านรูดจะต้องเต็ม! ไม่เวิร์คเลย เพราะที่สุดแล้ว คนที่จะต้องมานั่งเสียใจในภายหลังก็คือเราคนเดียวเท่านั้น การมีอะไรกันไม่ได้บ่งบอกว่ารักกันเสมอไป ควรมีเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
12. วันวาเลนไทน์ แม้จะตื่นเต้นยังไง ก็ยังต้องเรียนหนังสือ ไม่ใช่เอาแต่เหม่อมองรอคอยใครมาให้ดอกไม้ หรือร่าเริงโดดเรียนไปเที่ยวซะงั้น บางคนพอถึง วันวาเลนไทน์ สติแตก เอาแต่วางแผนว่าจะเซอร์ไพร้ส์แฟนยังไง ทำอะไรบ้าง สรุป วันนี้สอบตกเพราะไร้สติโดยสิ้นเชิงล่ะ
13. คนโสดก็มีวาเลนไทน์ที่อบอุ่นได้แค่เพียงรักตัวเอง ขอให้จำไว้เลยว่า แค่เพียงเราใช้วันวาเลนไทน์เป็นวันที่เราดูแลสุขภาพร่างกาย มอบความรัดให้ตัวเอง เราก็จะเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดได้อยู่แล้ว
14. อย่าเสียเงินไปซื้อดอกไม้หรือตุ๊กตามาเดินถือ เพียงเพราะกลัวขายหน้าที่ยังไม่มีใครให้ของขวัญวาเลนไทน์ มันเป็นอะไรที่ไร้สาระมากๆ เพราะการเดินมือเปล่าในวันวาเลนไทน์ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักกะหน่อย ถ้ารวยนักละก็ เอาเงินไปบริจาคให้เด็กยากจนดีกว่านะ
15. ถ้าอยากให้ของขวัญวาเลนไทน์ที่อยู่นานๆ ต้นไม้ในกระถางก็น่ารักดี ดีกว่าดอกไม้ราคาแพงหูฉี่ แต่สามวันเน่า ลองไปหาซื้อไม้ใบ ไม้ดอกสวยๆ เอามามอบให้กัน ราคาถูกกว่า แถมอยู่ได้นานกว่าด้วย อีกอย่างมันก็มีความหมายเป็นนัยๆ ว่า รักของเราจะมั่นคงยาวนาน เหมือนต้นไม้ที่เติบโตและไม่เหี่ยวเฉาง่ายๆ ถ้าได้รับการดูแลอย่างดีนะจ๊ะ
16. ผู้ชาย 55 เปอร์เซ็นต์มองว่าการให้ดอกไม้วาเลนไทน์เป็นเรื่องไร้สาระ บางคนถือว่าการให้ดอกไม้ผู้หญิงเป็นพวกเชยระเบิด ถ้าจะต้องทำเซอร์ไพร้ส์ให้เราวันวาเลนไทน์ เพราะความรักของเค้าอาจจะไม่ได้โฟกัสที่ตรงจุดนั้น
17. สิ่งที่จะทำให้ผู้ชายซึ้งใจและรักเรามากคือความเข้าใจ ไม่ใช่ของขวัญวาเลนไทน์ราคาแพง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องอดข้าว อดน้ำเพื่อซื้อของราคาแพงเกินตัวให้เค้า ถ้าเค้ารักเราจริง เค้าคงไม่สบายใจที่เห็นเราต้องทรมานตัวเองแบบนั้นหรอกนะ ความเข้าใจในตัวของเค้าและอยู่กับเค้าโดยสร้างความสุขให้กันได้ทุกวัน สำคัญสุดแล้ว
18. โลกของเราก็อยากได้ของขวัญวาเลนไทน์จากเธอ ลองหันมารักโลก ทำสิ่งดีๆ ให้โลกกันดูไหม เช่น ปลูกต้นไม้ สัญญากับตัวเองว่าจะลดการใช้ถุงพลาสติก ประหยัดไฟ ประหนัดน้ำ ฯลฯ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
19. ความสำคัญของการมีแฟนไม่ได้อยู่ที่มีคนเดินด้วยในวันวาเลนไทน์เท่านั้น ฉะนั้นอย่าคิดโง่ๆ แค่ว่า อยากมีแฟนเพราะจะได้มีคนมาเดินข้างๆ ในวันวาเลนไทน์ จนต้องรีบควานหาเอาใครก็ได้มาเคียงคู่ เพียงเพราะว้อนท์อยากมีแฟนใจจะขาด แบบนั้นเธอเสี่ยงจะเจอรักคุดหรือรักสุดอะเฟดได้
20. เราสามารถมีวันวาเลนไทน์ได้ทุกวัน แค่เพียงทำทุกวันให้เป็นวันแห่งความรัก ดูแลกันและกันทุกวัน ใส่ใจกันทุกวัน แล้วเธอก็จะพบว่า ไม่ว่าวันไหน โลกก็เป็นสีชมพูได้ แค่เพียงยังมีกันและกันอยู่เสมอ
ที่มา : http://campus.sanook.com/

ประวัติวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day)

        เทศกาลวาเลนไทน์ (Valentine's Dayเริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

       ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง
         และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระหว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็นความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า "From Your Valentine" 

        วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส
         ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลวันแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
         วันวาเลนไทน์ หรือ Valentine's Day ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่ เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่ง บัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
         ประวัติวันวาเลนไทน์ นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์ เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...
ที่มา ; http://campus.sanook.com/

ความเสื่อมจากความรักในวัยเรียน

         เริ่มต้นวันแรกของสัปดาห์ ก็จะเริ่มเขียนเรื่องในลักษณะนี้อีกครั้งหนึ่ง ไม่ได้เป็นการรีวิวแต่เป็นการเขียนในหลายๆแง่มุม เป็นการเขียนครั้งที่ 4 แล้ว เนื่องจากต้องการให้วัยรุ่นนั้นได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดจากความรักในวัยเรียน ซึ่งอาจเรียกได้ว่า “ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ไม่ใช่เรื่องเหมาะ”
          การแสดงความรักในวัยเรียนนั้นหลายคนในปัจจุบันอาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่อีกหลายคนเหมือนกันมองว่ามันถึงเวลาแล้วหรือ ที่จะมาแสดงความรักในวัยเรียน ในยุคนี้เป็นยุคเทคโนโลยี แน่นอนว่าถ้าหากเกิดมีการถ่ายรูปตอนที่กำลังแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม แล้วถูกนำมาเผยแพร่ลงในSocial Networkเป็นที่แน่นอนว่า ก็คงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้าง อาจจะมองว่าคิดดีแล้วเหรอที่ทำอะไรแบบนี้ เป็นต้น
          ประเด็นสำคัญคือ เมื่อเกิดขึ้นในวัยที่กำลังเรียนหนังสือกันอยู่นั้น แล้วถ้าเกิดพลั้งพลาดขึ้นมา จะเสียอนาคตเลยไหม ในอดีตก็คงเป็นอย่างที่ผมเขียนข้างต้น แต่ในปัจจุบัน กฎหมายได้เปิดกว้างทางการศึกษา เด็กผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ในช่วงวัยเรียนอาจจะคลอดบุตรและดูแลเรียบร้อยในระดับหนึ่งแล้วจึงกลับมาศึกษาต่อ ทั้งในระบบและนอกระบบ หรือไม่ก็เด็กผู้ชายผู้เป็นพ่อของเด็กในครรภ์ อาจจะเรียนหนังสือไปด้วย ทำงานเลี้ยงครอบครัวไปด้วยก็ได้ แต่ถ้าหากถามว่า การที่จะทำอะไรผิดพลาดไปแล้วจะกลับมาแก้ไขในลักษณะดังกล่าว มันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะกระทำเเบบนี้ มันคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปกับเรื่องพวกนี้ บางคนอาจจะ 1-3 ปี แต่อีกหลายคนอาจจะไม่มีเวลาเหลือพอที่จะหันหลังกลับมาในที่นีได้
          สิ่งหนึ่งที่น่าเตือนใจคือ เมื่อมีแฟนแล้วต้องให้เงิน เดือดร้อนพ่อแม่ตนเอง บางทีโทรศัพท์ไปขอเงินในระหว่างเรียน หรือไม่ก็โทรศัพท์ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เป็นอะไรที่น่าเสียใจมาก ที่ลูกตัวเองทำแบบนี้ เอาเงินไปให้แฟนตัวเอง พ่อแม่ทุกคนหวังให้ลูกทุกคนคิดดี ทำดี มีประโยชน์ต่อสังคม แต่การที่กระทำแบบนี้ มันกลายเป็นว่า เป็นสิ่งที่เห็นแฟนดีกว่าพ่อแม่ของตน สะท้อนให้เห็นว่าครอบครัวเริ่มห่างจากตนอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ
          การติดต่อสื่อสารกันในเวลาเรียน เนื่องจากเป็นยุคเทคโนโลยี ดังนั้นจึงใช้ทั้งBlackBerry Iphone Ipad มาใช้ในการสื่อสารติดต่อกันคุยกับแฟน ถึงว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ผิดประเภทแล้วไม่พอ ผิดเวลาและสถานที่อย่างรุนแรงด้วย ที่สำคัญสิ่งเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะสูญหายไปได้ง่ายๆ หากนำมาใช้ในสถานที่ที่มีคนอยู่กันเป็นจำนวนมากๆ การนำมาใช้เวลาเรียนเพื่อติดต่อคุยกับแฟน จะแสดงขึ้นมาให้เห็นต่อหน้าหรือคุยกันใต้โต๊ะเรียน เป็นการเสียมารยาทต่อเพื่อนในห้องและอาจารย์ผู้สอนอย่างมากๆ จึงไม่อยากให้วัยนี้ทำตาม เพราะเป็นอะไรที่มันเสียหายมากทั้งตนเองและวงศ์ตระกูล
สุดท้ายนี้ อยากให้ทุกคนตระหนักไว้ว่า “เวลาเรียนหนังสือก็ควรพึงเรียนหนังสือ เวลาทำงานก็ควรพึงทำงาน เวลาใดทำอะไรก็ควรพึงจะทำสิ่งนั้น จะหาแฟนสักคนก็ต้องให้ตนนั้นตั้งตัวเองให้ได้ก่อน จึงจะไปเลี้ยงแฟนของตนได้ ไม่งั้นเรือก็ต้องล่มไปในที่สุด” วันนี้สวัสดี
ที่มา : https://non9279.wordpress.com

แนวทางในการป้องกันแก้ไขปัญหา

1. ตัวเด็ก  

          ผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดต้องให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กในเรื่องความรักความสัมพันธ์ตลอดจนปัญหาที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เพื่อให้เด็กได้ตระหนักในปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น   ให้เด็กได้มีทักษะชีวิตที่สำคัญจำเป็นต่าง ๆ เพื่อให้เด็กสามารถยับยั้งปัญหาที่กำลังจะเกิดได้อย่างปลอดภัย และเมื่อเกิดปัญหาแล้วให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาจะทำให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพ/ความสามารถของตนในการดำเนินชีวิตต่อไป

2. ครอบครัว

          ให้ครอบครัวได้เข้าใจและตระหนักว่า ความรักความอบอุ่นที่เพียงพอและพอเพียงจะสามารถนำพาครอบครัวให้เข้าใจในปัญหาได้อย่างแท้จริงและความรัก ความอบอุ่นนี้จะนำพาให้ครอบครัวเรียนรู้ที่จะยอมรับกันอย่างปราศจากเงื่อนไข เพื่อที่จะได้ร่วมกันเผชิญกับปัญหาได้อย่างมั่นคง พร้อมที่จะก้าวเดินไปพร้อมๆกัน ร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในครอบครัวของเราได้

3. สังคมและสิ่งแวดล้อม  

          ทั้งที่เป็นบุคคล สถาบัน ๆ ตลอดจนชุมชน สังคมในภาพกว้างต้องมีความรู้ความเข้าใจต่อธรรมชาติของวัย ธรรมชาติของปัญหา ความต้องการทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจของเด็กวัยนี้ เพื่อความเข้าใจต่อปัญหาสามารถเป็นแรงเสริมที่จะให้เด็กในวัยนี้สามารถผ่านพ้นวัยที่สำคัญนี้ไปได้ด้วยความเข้าใจในความรัก ตามความเป็นจริง รู้จักและเข้าใจคุณค่าของตนจากความรักพื้นฐานความรักที่แท้จริงของพ่อแม่และครอบครัวตลอดจนบุคคลรอบข้างที่รักและปรารถนาดีต่อเด็กและสังคมยังสามารถประคับประคองเยาวชนที่ผ่านพ้นปัญหามาให้มีกำลังใจที่จะยืนหยัดในสังคมต่อไปอย่างเห็นคุณค่าในตนเอง พร้อมจะต้อนรับตนเองให้มีที่ยืนในสังคมต่อไป

ประสบการณ์รักในวัยเรียน

          เรื่องมีอยู่ว่าตอนม.2เรามีแฟนเป็นผู้ชายชื่อ โดม(นามสมมุตินะคะ) เราคบหากับโดมมาจนเราขึ้นม.4แต่โดมย้ายออกจากโรงเรียนไปต่อสายอาชีพ เราก็โอเคนะชีวิตรักไปได้สวยแต่ผ่านไป2-3เดือน โดมเริ่มเปลี่ยนไปออกห่างเรามากขึ้น โทรไปไม่ค่อยรับ เปลี่ยนไปมากๆ เราก็สงสัยล่ะ เราเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ถึงค่อนข้างเยอะมากก็จะมีคนมาบอกตลอดว่าโดมแอบชอบผญอยู่คนนึงอยู่ห้องเดียวกันผญคนนั้นสวยมากเต้นโควเว่อเก่งมาก เราก็รู้สึกเสียใจมากถึงมากที่สุดเพราะเราติดต่อโดมไม่ได้เลย  จนมาติดต่อโดมได้ตอนที่เราโทรหาแม่ของโดมแม่ของโดมให้เราคุยกับโดม โดมเลยขอเลิกกับเราให้เหตุผลว่าเราไม่มีเวลาให้เราก็ตื้อเค้ามากถึงมากที่สุดจนเค้าให้โอกาสเรา เราก็เลยบอกว่าต่อไปนี้จะมีเวลาให้นะ คือเราเป็นลูกที่พอ่แม่หวงมากๆ ไม่ปล่อยเที่ยว คอยมารับไปส่ง รร ทุกวัน เราก็จะอ้างพ่อกับแม่เราว่าติดรายงานที่โรงเรียน ทำบอร์ดบ้าง ให้มารับ6โมงเย็นนะ เป็นประจำเพื่อไปยุวกับโดม โดมจะมารับรับเราหน้าโรงเรียนทุกๆครั้ง แล้วก็ไปบ้านของโดม เราไปบ้านของโดมได้2ครั้งค่ะ ครั้งแรกไป เราก็ไปนั่งเล่นกันแล้วก็นั่งถ่ายรูปกัน555 แต่สักพักโดมก็เริ่มเล้าโลมเราแต่เราไม่ให้ค่ะเราบอกว่าเรายังเด็กกันอยู่อย่าเลย โดมก็แบบเซ็งๆ แล้วก็ชวนเรากลับทันทีเลย หลังจากมาส่งเราที่โรงเรียน โดมก็เปลี่ยนไป เราก็เลยพยายามติดต่ออีกครั้งโดมบอกว่าถ้าอยากคบกันต่อก็ต้องให้กันถ้าไม่คิดจะให้ก็เลิกกันไปเรารักเค้ามากค่ะ เราเลยบอกโอเคร ให้ก็ได้ วันต่อมาโดมก็มารับเราที่โรงเรียนอีกนี่เป้นครั้งที่2ค่ะ เราก็ไปบ้านโดมเหมือนเดิม ครั้งนี้เราไม่ได้เล่นกันเหมือนเดิม พอมาถึงบ้านเข้าไปในห้องโดมก็เล้าโลมเราเลยจนมือโดมจะมาถอดเสื้อเราแล้ว อยู่ๆภาพพ่อแม่ก็ขึ้นมาเรารู้สึกผิดแล้วกัวไปหมด ต่างคนยังไม่เคยผ่านอะไรกันมาไม่เป็นทั้งคู่ อยู่ๆน้ำตาเราก็ไหลแล้วก็ยกมือไหว้โดมพูดแต่ว่าเราทำไม่ได้จริงๆ เราขอโทดไปส่งเราเถอะนะ ของร้องล่ะ คือตอนนั้นโดมก็กำลังมีอารมณ์ เราก็ได้แต่ร้องไห้โดมก็เลยลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปยืนดูดบุหรี่อยูหน้าบ้าน เราเดินตามออกมาโดมก็ค่อมรถแล้วก็ไม่พูดไม่จา เราก็เลยขึ้นซ้อน โดมก็ขี่รถไปส่งเราที่โรงเรียนขี่เร็วมากๆๆพอไปถึงโรงเรียนโดมก็ขี่กลับไปเร็วมากไม่พูดกับเราสักคำ พอเรากลับไปถึงบ้านเราได้แต่โทรหาโดม  ข้าวปลาไม่กินร้องไห้อย่างเดียว เราเอาแต่อยู่ในห้องร้องไห้อย่างเดียวจนคิดสั้นมากๆ เราเอามีดมาไว้บนหัวนอน เอายามาไว้ข้างตัว แต่แล้วแม่เราก็ให้พี่สไภ้มาคุยกับเรา พี่สไภ้ก็ปลอบเราทุกอย่าง เราก็ไม่ฟังเราอยากคุยอยากติดต่อกบโดมเท่านั้น แม่เราก็ไม่เข้ามาปลอบเราเลยได้แต่ร้องไห้ยุวหน้าห้อง แล้วแม่เราก็ตัดสินใจโทรไปหาแม่ของโดม คุยกับแม่ของโดมเล่าสถานะภาพของเราทุกอย่างแม่ของโดมก็เลยขอคุยกับเรา เราได้คุยกับแม่ แม่ก็ได้แต่บอกให้เรากินข้าว ดุแลตัวเอง อย่าปล่อยตัวเอง แล้วก็ให้เราทำใจ เราวางสายแล้วร้องไห้โฮเลย ไม่อยากไปเรียน เราไม่ไปเรียน2อาทิตย์เต็มๆจนเพื่อนมาหาที่บ้าน เรารู้สึกมีเรี่ยวแรงที่จะไป พอเราไปได้คุยกับพื่อนคนๆนึง เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนที่เพิ่งจะมาสนิทแต่ให้ข้อคิดเราได้ดีมาก เราเอาเรื่องของเราทุกอย่างเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนเราบอกเราว่า คิดว่าให้เค้าไปแล้วเค้าจะหยุดที่เราคนๆเดียวหรอ? อายุยังแค่นี้ไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาในชีวิตแล้วหรอ ดูแลตัวเอง เชิดๆเข้าไว้ หลังจากนั้นก็โอเครค่ะ อยู่กับเพื่อน เปิดใจคุยกับคนที่เข้ามา ก็รู้สึกว่าดีขึ้นมากเลยค่ะ  หลังจากนั้นเราก็ได้มารู้จักรุ่นน้องอยู่ม.1เป็นทอม ตัวเล็กขาวๆ น่ารักมากค่ะ ใจเราตอนนั้นไม่ได้อยากจะคบเลย เราแค่อยากทำให้น้องเค้าเป็นผู้หญิงให้ได้ เราก็เลยคุยกัน ระหว่างที่คุยกันน้องเค้าดีกับเรามากๆเลยค่ะ ดูแลทุกอย่าง อาหารการกินน้องเค้าเทคแคร์เราทุกอย่าง จนมาวันนึงเราตัดสินใจคบกับน้องเค้าค่ะ แต่แล้วแฟนเก่าก็กลับมา กลับมาขอคืนดี กลับมาทำตัวแสดงความเป็นเจ้าของ ทุกอย่าง เราก็เริ่มอ่อนไหว เราก็แอบกลับไปคบกับเค้าค่ะทำให้น้องเค้าเสียใจมากแต่น้องเค้าเลือกที่จะรอค่ะ เวลาไปไหนกับแฟนเก่าน้องขอตามติดไปด้วยค่ะ แล้วพอเห็นแฟนเก่าหอมแก้มเราน้องเค้าก็นั่งร้องไห้ทุกครั้งเราก็จะให้เพื่อนไปปลอบใจ ส่วนเราก็นั่งมีความสุขกับรักครั้งเก่าไป จนกลับบ้าน น้องก็นอนกับเราที่บ้านค่ะ วนเวียนไปอย่างนี้ จนเราตกหลุมรักน้องเค้ามากๆค่ะ เพราะน้องเค้ายอมทุกอย่างจริงๆ แต่เราก็แอบคุยกับแฟนเก่าบ้าง โดยที่ไม่ให้น้องรู้ แต่ก็จับได้ตลอด แฟนเก่าเราก็ไม่ยอม จนมาถึงวันที่เราต้องเลือกใครสักคน เราบอกแฟนเก่าเราเลือกแฟนเก่าค่ะ แต่วันที่ต้องเลื่อกนี่สิ พ่อของน้องเสียชีวิต เรากำลังโทรไปหาน้องจะบอกว่าเราเลือกแฟนเก่าแต่พอน้องพูดแบบนี้มาใจเราหายวาบ น้องร้องไห้กับเรา จนเราทิ้งน้องให้อยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆทิ้งไม่ได้จริงๆเราเลยโทรหาแฟนเก่าบอกขอเวลา หลังจากนั้นเราก็อยู่ข้างๆน้องตลอด ช่วยงานศพ คอยดูแลน้องตลอด น้องเสียใจมากเพราะว่าน้องอยู่บ้าน2คนกับพ่อ พอพ่อเสียไปน้องอยู่ตัวคนเดียว คนเดียวจริงๆ แต่บ้านน้องค่อนข้างมีฐานะ น้องเลยไม่ลำบากอะไรมาก รวมถึงแม่จะคอยมาหาน้องทุกวันเสา-อาทิต แต่ช่วงเวลาจัน-ศุกน้องก็มานอนกับเรา ไปโรงเรียนพร้อมกัน เราเริ่มรักกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ยังแอบคุยกับแฟนเก่าเรื่อยมา แต่ไม่เคยไปหากัน แต่พอหลังจากคืนนึงเราดูหนังเรื่องตุ๊กตาผี18+ มันมีอะไรที่โป๊ยุว555 เราก็เลยมีอะไรกัน วันนั้น มันทำให้ทุกอย่าง เต็มอิ่มมากๆๆ หลังจากนั้นเราก็มีอะไรกันเรื่อยมาใช้ชีวิตดูแลกันอยู่ด้วยกันมีความสุขมากๆ แต่ครอบครัวเราจะไม่ยอมรับเลยเรื่องที่ครบผญด้วยกันแต่เราก็ตื้อสุดๆ พ่อกับแม่เราก็ยอมเพราะถ้าลูกรักใครพ่อกับแม่จะรักด้วย จนวันนึงเราเริ่มมาเล่นแคมฟ๊อคเราติดมาก เพราะในแคมฟ๊อคมีคนมาจีบมาติดตามเราเยอะมาก เราติดป๊อปติดไอดี4เทพตลอดเลย เราก็ชอบไล่น้องไปหาเพื่อนบ้างจ้างไปเล่นเกมที่ร้านเกมบ้าง เพื่อที่เราจะเล่นแคมฟ๊อคคุยกับคนอื่นมากมายที่ไม่รุ้จัก หลังจากนั้นเราก็เริ่มห่างกันไป พร้อมกับเรามีคนเข้ามาคุยมากมาย แต่น้องก็ยังคอยเป็นห่วงเรา ซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้เรา เราอยู่บ้านเฉยๆ น้องจ่ายค่าเนต ค่าน้ำ ค่าไฟ ทุกๆอย่างน้องช่วยออกหมด น้องยุวแค่ม.1เองนะ ถือว่าเก่งมากๆเลยทีเดียว แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะตัวเราเอง  เด๋วมาต่อนะคะว่าหลังจากนี้ชีวิตเรากับน้องจะเป้นยังไงต่อ
ที่มา : http://pantip.com/

"ความรักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางสายฝน"


"ความรักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางสายฝน"

                                            
      เชื่อว่าเพื่อนๆทุกคน คงเคยได้ยินคำๆนี้มามากพอสมควร เพราะนี่คือคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ ที่ไม่อยากให้
เรามีรักในวัยเรียน เพราะผู้ใหญ่มักคิดว่า นี่....คือจุดที่ทำให้เรา ไม่สนใจเรียน แต่สำหรับเราแล้ว หรือจะเพื่อนๆ
อีกหลายคน ก็คงคิดเช่นกันอีกว่า เรื่องความรักในวัยเรียน ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องเรียนเลย เพราะว่าบางครั้ง
ความรักในวัยเรียนนั้น เราว่ามันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำอีกอย่างหนึ่งนะ การมีรักครั้งแรก การได้แอบรัก
การถูกเพื่อนๆล้อ การแอบคบกันโดยไม่ให้ใครรู้ การโดนดุเมื่อถูกจับได้ว่ามีแฟน ฯลฯ ทั้งนี้ ก็ล้วนเป็นประสบ
การณ์ที่น่าจดจำ และน่าประทับใจ
                                            
       สำหรับรอบๆตัวของเรานั้น จากที่ดูง่ายๆจากเพื่อนในกลุ่มของเราเอง ก็มีความรักในวัยเรียนที่แตกต่างกัน
ไป ทั้งรักสมหวัง รักแบบแอบคบ รักต้องห้าม หรือการแอบรัก แต่เราก็ไม่เห็นว่า พวกเพื่อนๆของเราจะมีการ
เรียนที่แย่ลงสักหน่อย เพราะฉะนั้น ผลที่ตามมาจากคำสอนที่ว่า "ความรักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางสาย
ฝน" มันมักจะมีคำต่อเสมอว่า "ความรักในวัยเรียน เหมือนจุดเทียนกลางสายฝน แต่พวกเราไม่เคยสน เพราะ
พวกเราจะกลางร่มแล้วจุดเทียน" อาจจะมองว่าเป็นการต่อคำสอนที่ดื้อดึงเอามากๆ แต่นี่แหละ คือสิ่งที่เราห้าม
กันไม่ได้ ห้ามไม่ให้รักใคร ไม่ให้ชอบใครเป็นพิเศษมันทำได้ยาก
                                             
        ในเมื่อเราไม่อยากให้ใครมาห้ามเรา หรืออยากมีความรักในวัยเรียนได้อย่างอิสระนั้น เราก็ควรทำอะไร
ที่ไม่เกินเลย ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังก่อน คิดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้น การให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการแบ่ง
เวลา การแยกแยะสิ่งต่างๆ ฯลฯ ถ้าเราสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เราก็คิดว่า คงไม่มีผู้ใหญ่คนไหนหรอก ที่จะมา
ว่าเราเรื่องความรักในวัยเรียน
ที่มา : http://blog.247friend.net/

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทำไมวัยรุ่นจึงมีปัญหา “รักในวัยเรียน”

ทำไมหนอ... เราจึงมักเห็นผู้ใหญ่กังวลใจกับความรักของวัยรุ่นมากกว่าวัยอื่นๆ จนคำว่า “รักในวัยเรียน” กลายเป็นพฤติกรรมที่ผิด ไม่สมควร เป็นสิ่งต้องห้ามในสายตาผู้ใหญ่
       
ทำไมวัยรุ่นจึงมีปัญหา “รักในวัยเรียน”
        หรือนั่นเป็นเพราะผู้ใหญ่รักและเป็นห่วงเป็นใย กลัวว่าความรักจะทำให้เสียการเรียน ทำให้เกิดการตบตีแย่งคนรัก มีเซ็กส์ก่อน “วัยอันควร” ตั้งท้อง ทำแท้ง ติดเอชไอวี ฆาตกรรม และฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรัก อย่างที่คุ้นหูคุ้นตาเป็นประจำจากสื่อต่างๆ?
     
       หรือนั่นเป็นเพราะ วัยรุ่นยังไม่มีความรับผิดชอบเพียงพอ ยังไร้เดียงสากับความรัก ยังขาดการยับยั้งชั่งใจ?
     
       น่าสงสัยว่า ผลลบของการมีความรักที่ปรากฏในสังคมทุกวันนี้ เกิดขึ้นเฉพาะกับวัยรุ่นเท่านั้นหรือ? และ “ความรัก” เป็นต้นเหตุอย่างนั้นหรือ?
     
       ถ้าเช่นนั้น ผู้ใหญ่ผ่านช่วงของ “รักในวัยเรียน” มาได้อย่างไร
       วัยรุ่นขาดคุณสมบัติ ขาดวุฒิภาวะที่จะมีความรักอย่างที่ผู้ใหญ่คิดกันจริงๆ? หรือที่จริงแล้ว เป็นเพราะวัยรุ่นขาดทักษะการจัดการความสัมพันธ์ เช่น ขาดทักษะการบอกความต้องการ การยุติความสัมพันธ์ การรู้เท่าทันพฤติกรรมของคู่ การจัดการกับอารมณ์ทางเพศของตนเอง รวมถึงทักษะการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยกันแน่?
     
       ทุกวันนี้ ผู้ใหญ่ห่วงแต่ว่าการมีความรักของวัยรุ่นจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ ทั้งมองความรักและเซ็กส์ของวัยรุ่นเป็นของคู่กัน จนหลงลืมเรื่องราวที่มากกว่าเรื่องเซ็กส์ไปหรือเปล่า
     
       การมีความรักไม่ได้หมายถึงการมีเซ็กซ์เสมอไป
     
       ในขณะที่เรื่องเพศ เป็นเรื่องที่ “ห้าม” พูดถึงในสังคม ฉะนั้น ช่องทางการเรียนรู้ที่มากกว่าเรื่องเพศสัมพันธ์จึงกลายเป็นเรื่องลับๆ โดยปริยาย ปัญหาคือ หากวัยรุ่นมีคำถาม เขาจะหาคำตอบได้จากที่ไหน ใครจะตอบเขาได้บ้าง หรือเขาจะกล้าไปถามใคร
     
       พฤติกรรม “อยากรู้อยากลอง” “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” จึงกลายเป็นคำเรียก “พฤติกรรม” ของวัยรุ่นที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ
     
       หรือเพราะผู้ใหญ่ลืมคิดถึงเบื้องหลังของพฤติกรรมเหล่านั้น สุดท้ายผลด้านลบของการมีความรักในวัยเรียน จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอกย้ำกับสังคมว่า “วัยรุ่น” เป็น “ตัวปัญหา”
     
       ถ้าตราบใดที่ผู้ใหญ่ยังสร้างกำแพงเรื่องเพศ แล้ววัยรุ่นจะเรียนรู้เรื่องเพศ เรื่องทักษะการจัดการความสัมพันธ์ การมีความรักที่เหมาะสม และการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยได้จากใคร
     
       หรือเมื่อโตขึ้น พวกเขาจะรู้เองได้?
     
       จะดีกว่าไหม ถ้าผู้ใหญ่จะทลายกำแพงนั้นทิ้งเสีย แล้วเปลี่ยนมาสร้างเกราะป้องกันให้พวกเขา สามารถประคองชีวิตในวัยรุ่น ทั้งเรื่องเรียน เรื่องรักได้อย่างเหมาะสม ด้วยการให้ข้อมูลที่รอบด้าน เพื่อให้พวกเขารู้จัก คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และตัดสินใจด้วยตนเอง
       ไม่ใช่การ “คิดให้” แต่ “ให้คิด”

ความรักในวัยเรียน

          การมีความรักถือว่าเป็นสิ่งที่ดี  ถ้าเรารู้จักที่จะแยกแยะว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ  โดยเฉพาะกับนักเรียน  นักศึกษา  ที่มีความรักในวัยเรียน  การมีความรักในวัยเรียนถือว่าไม่ผิด  แต่ควรมีในกรอบที่ดี  ไม่ออกนอกลู่นอกทาง  ความรักไม่ใช่แฟชั่นที่สามารถนำมาเป็นเรื่องสนุกๆ ยิ่งกับวัยรุ่นเห็นเพื่อนมีแฟน อยากมีแฟนบ้าง  เพราะถือว่าใครไม่มีแฟนถือว่าเชย  ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ผิดๆ  สำหรับบางคนความรักเป็นเหมือนกำลังใจที่จะผลักดันให้สามารถที่จะทำอะไรก็ได้ให้สำเร็จ  เป็นการส่งเสริมกันและกัน  และช่วยกันจนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปพร้อมกัน  แต่บางคนก็พากันออกนอกสู่นอกทาง  จนเกิดเป็นปัญหาสังคม  เช่น  การชิงสุกก่อนห่าม  การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม  เพราะคิดเพียงแค่ความสนุกชั่วครู่  แต่ผลที่ตามมานั้นอาจมีความรุนแรงและส่งผลกระทบกับตัวเขาเอง  ครอบครัวและสังคมอย่างมาก  ดังนั้นครอบครัวต้องมีการดูแลบุตรหลานให้ดี  ไม่ควรปล่อยปละละเลย  ควรให้ความรักความอบอุ่น  พ่อแม่บางคนไม่มีเวลา  จนทำให้ลูกต้องหันเข้าหาแฟน  เพื่อเป็นการลบปมด้อยที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้  จนเห็นแฟนมีความสำคัญมากกว่าพ่อแม่  พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญกับลูกให้มากเพื่อไม่ให้ปัญหาต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้น

ความรัก

ความรัก (อังกฤษLove) เป็นความรู้สึก สภาพและเจตคติต่าง ๆ ซึ่งมีตั้งแต่ความชอบระหว่างบุคคล ("ฉันรักแม่ของฉัน") ไปถึงความพึงพอใจ ("ฉันรักอาหารมื้อนั้น") อาจหมายถึงอารมณ์การดึงดูดและความผูกพัน (attachment) ส่วนบุคคลอย่างแรงกล้า ในบริบททางปรัชญา ความรักเป็นคุณธรรมแสดงออกซึ่งความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความเสน่หาทั้งหมดของมนุษย์ ความรักเป็นแก่นของหลายศาสนา อย่างเช่นในวลี "พระเจ้าเป็นความรัก" ของศาสนาคริสต์ หรืออากาเปในพระวรสารในสารบบ ความรักยังอาจอธิบายได้ว่าเป็นพฤติกรรมต่อตนเองหรือผู้อื่นซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเห็นอกเห็นใจ หรือความเสน่หา
คำว่ารักสามารถหมายความถึงความรู้สึก สภาพทางอารมณ์และเจตคติต่าง ๆ ซึ่งอาจมีตั้งแต่ความพอใจทั่วไปจนถึงความดึงดูดระหว่างบุคคลอย่างรุนแรง แต่โดยเจาะจงแล้ว ความรักสามารถหมายถึงความต้องการอย่างเสน่หาและความสัมพันธ์ทางเพศ ซึ่งเป็นความหมายของความรักแบบโรแมนติก ความรักที่มีเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นความหมายของอีรอส (คำภาษากรีกหมายถึงความรัก) ความใกล้ชิดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นความหมายของความรักกับบุคคลในครอบครัว หรือรักบริสุทธิ์ที่นิยามมิตรภาพ หรือความรักแบบอุทิศตัวแบบในทางศาสนา ความหลากหลายของการใช้และความหมายของคำว่ารักนี้ ประกอบกับความรู้สึกอันซับซ้อนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เป็นการยากที่จะนิยามความรักให้แน่นอน แม้จะเทียบกับสภาพอารมณ์อื่น ๆ แล้วก็ตาม
วิทยาศาสตร์นิยามว่าสิ่งที่เข้าใจได้ว่าเป็นความรักนั้นเป็นสภาพที่มาจากวิวัฒนาการของสัญชาตญาณการเอาตัวรอด โดยพื้นฐานแล้วเพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามและเพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องของสายพันธุ์ผ่านการสืบพันธุ์
ที่มา : https://th.wikipedia.org